Blockchain คือ อะไร
อะไรคือ Bitcoin
อะไรคือ Ethereum
อะไรคือ ทรัพย์สินในจินตนาการที่มีตัวย่อว่า BNB ADA DOT ALPHA GRT XRP XLM มันเหมือนกับหุ้นที่ซื้อๆขายๆกันอยู่ทุกวันมั๊ย แล้วทำไมมันถึงมีราคาสูงถึงขั้นซื้อรถเทสล่าได้หนึ่งคัน
จุดกำเนิดอาจจะคล้ายๆกับที่ผมเริ่มเขียนเรื่องของ Pokemon Go คือ สุดท้ายท้ายสุด ผมยังคงต้องพึ่งพาข้อมูลจากเวบต่างประเทศในการทำความเข้าใจกับเทคโนโลยีใหม่ๆอย่าง Blockchain เพื่อที่จะศึกษาการลงทุนเกี่ยวกับเงินดิจิตอล หรือ Crypto Currency ให้ดีขึ้น งั้นทำไมเราไม่เอามาเขียนให้เพื่อนๆเข้าใจได้ง่ายๆแบบที่เราใช้เวลาทำความเข้าใจล่ะ
Blockchain คืออะไร
ในปัจจุบัน ถ้าเราฝากเงินให้กับธนาคาร สิ่งที่เราต้องมีคืออะไรครับ อาจจะเป็นบัตร ATM หรือสมุดบัญชีเงินฝาก เพื่อจะนำไปทำธุรกรรมถอนเงิน ฝากเงินกับธนาคาร คนที่เก็บข้อมูลว่า เรามีเงินอยู่เท่าไหร่คือ ธนาคาร ถ้ามองในอีกแง่คือ จำนวนเงินของเราถูกฝากอยู่ที่ตัวกลาง
พอผ่านตัวกลาง ความเสี่ยงบังเกิด ถ้าวันดีคืนดีธนาคารทำข้อมูลเราหายหรือโกง เงินเราก็หายไปด้วย อีกเรื่องที่เจ้าของเงินโดนเอาเปรียบคือ ตัวกลางมักจะหาวิธีเก็บค่าธรรมเนียมในรูปแบบต่างๆ เช่น ส่วนต่างจากการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ หรือการโอนเงินข้ามเขต หรือแม้แต่ค่าธรรมเนียมในการรักษาบัญชี ในบางครั้งดูไม่สมเหตุสมผลเอาเลย การโอนเงินข้ามเขตจริงๆมันก็คือการเปลี่ยนตัวเลขของบัญชีสองบัญชีที่อยู่ในฐานข้อมูลเดียวกัน แถมเงินที่เราเป็นเจ้าของ กลับถูกคนกลางนำไปเล่นแร่แปรธาตุก่อให้เกิดเป็นรายได้ โดยที่เราได้กลับมาเป็นดอกเบี้ยจำนวนน้อยนิด จนดอกเบี้ยแทบจะติดลบแล้วในทุกวันนี้
นักพัฒนากลุ่มหนึ่งจึงคิดค้นวิธีการเก็บข้อมูลขึ้นมาใหม่ โดยบอกว่า ต่อจากนี้ เราจะไม่มีคนกลางในการเก็บข้อมูลอีกต่อไปแล้ว มาช่วยกันเก็บข้อมูลพวกนี้กันไว้ทุกคนดีกว่า
เพื่อไม่จำเป็นต้องมีคนกลางอีกต่อไป นักพัฒนาใช้คอนเซปท์ที่ว่า ให้มองว่าข้อมูลหนึ่งชุดคือหนึ่งบล๊อค ฐานข้อมูลดังจะเกิดจากการนำบล๊อคมาต่อกันไปเรื่อยๆ ลักษณะเป็นลูกโซ่ สามารถมีคนที่จะนำชุดห่วงโซ่ดังกล่าวไปเก็บไว้ได้ในคอมพิวเตอร์กี่เครื่องก็ได้ในโลก ทุกครั้งที่มีการสร้างบล๊อคใหม่ขึ้นมา รอยต่อระหว่างบล๊อคแต่ละบล๊อคจะมีการเข้ารหัสที่เหมือนกันในทุกเครื่องเสมอ ถ้าเครื่องไหนรหัสส่วนนี้ผิดเพี้ยนไปจากเครื่องอื่นๆจะใช้งานห่วงโซ่นั้นไม่ได้อีกเลย โดยที่บล๊อคในแต่ละบล๊อคเมื่อถูกสร้างขึ้นมาแล้ว จะมีใครเข้าไปแก้ไขข้อมูลดังกล่าวอีกไม่ได้ ถ้ามีการเข้าไปยุ่งกับข้อมูล อย่าลืมว่าเครื่องอื่นๆในโลกจะเห็นว่าข้อมูลเราไม่เหมือนกับชาวบ้าน ข้อมูลชุดนั้นก็จะใช้งานในห่วงโซ่นั้นไม่ได้อีกเลย เช่นเดียวกัน
และเพื่อปลอดภัยยิ่งขึ้น ทุกๆเวลาที่กำหนด เป็นวินาที เป็นนาที รหัสระหว่างรอยต่อของบล๊อคจะเปลี่ยนไปเสมอ ทำให้แฮคเกอร์ไม่มีทางที่จะถอดรหัสดังกล่าวได้ และไม่มีเทคโนโลยีใดในโลกนี้มีความเร็วที่สามารถถอดรหัสได้ไวขนาดนั้น
เมื่อไม่มีคนกลาง ค่าธรรมเนียมต่างๆ และความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นจากตัวกลางก็จะหมดไปหรือถ้ามีก็ถูกมาก แถมโอกาสที่ข้อมูลจะสูญหายหรือโดนโกงแทบจะเป็นศูนย์เพราะอาศัยการยืนยันจากหลายแหล่ง แฮคไม่ได้ ทำเทียมไม่ได้
แน่นอนมันก็มีข้อเสียเช่นกัน เมื่อไม่มีคนกลาง การตรวจสอบก็ทำได้ยาก เพราะไม่มีการกำหนดกฏเกณฏ์ว่าใครจะใส่ข้อมูล หรือใช้งานข้อมูลดังกล่าว ถ้าถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด จะไม่สามารถตรวจสอบหรือควบคุมได้
คอนเซปท์นี้ ถูกพิสูจน์ว่าใช้ได้จริง หลังจากที่มีบุคคลลึกลึบนามว่า Satoshi Nakamoto นำคอนเซปท์ดังกล่าว มาสร้างสิ่งที่เรียกว่า Bitcoin ขึ้นมา และเป็นครั้งแรกที่โลกได้รู้จักกับ Crypto Currency
[…] Bitcoin และ Blockchain อีกครั้ง บอกตรงๆว่า […]
[…] Blockchain […]
[…] สิ่งที่ DEX ทำนั้น ก็ง่ายๆว่า หาก A ถือเหรียญหนึ่ง B ถือเหรียญหนึ่ง ทั้งคู่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายใครเป็นใคร แต่ราคาในตลาดถึงจุดที่สามารถจับคู่ A กับ B ในการซื้อขายกันได้แล้วเหมือนตลาดหุ้น เพื่อไม่ให้ผ่านตัวกลาง เนื่องจากหากจะรอนาย A กับ B โอนเหรียญมาที่บัญชีกลาง แล้วระบบของตัวกลางตรวจสอบเรียบร้อยว่าสองฝั่งโอนมาแล้วนะ ค่อยโอนต่อไปยัง A กับ B จะทำให้ต้องใช้เวลาตรวจสอบและทำธุรกรรมในการโอนไปโอนมาบน Blockchain เป็นเวลานาน และต้องทำหลายขั้นตอน แถมผ่านบัญชีกลางอีก ซึ่งตามหลักการอาจจะโดนตัวกลางโกงได้ หรือเก็บค่าธรรมเนียมแบบโหดๆไร้จรรยาบรรณ […]