เข้าใจคริปโตง่ายๆ ผ่านหวย
คริปโตเคอเรนซี่ เป็นเรื่องใหม่ที่ค่อนข้างเข้าใจเอายากมากๆสำหรับคนไทย ว่ามันคืออะไร มันเป็นอากาศธาตุ เป็นตัวเลข 0 1 อยู่ในฮาร์ดดิสก์ หรือมันเอาไปทำอะไรได้
หลังจากอธิบาย Bitcoin, Ethereum และเหรียญอื่นๆอีกมากมายมาพักใหญ่ๆ วิธีที่ดีที่สุดที่ท่านจะเห็นภาพ เราลองมาคริปโตฯมาใช้กับสิ่งที่คนไทยเคยชินที่สุดกันดีกว่า ผมจะอธิบายคริปโตฯ ผ่านการเล่นหวยทั้งบนดินและใต้ดินให้ฟังครับว่า เหรียญแต่ละชนิด ถ้านำมาใช้ในวงการหวย จะใช้ประโยชน์อย่างไรกันบ้าง
สิ่งแรกที่ต้องมีในการเล่นหวย แน่นอนคือ เงิน ไม่มี เงิน เราย่อมแทงหวยไม่ได้
ผมขอเปรียบเทียบว่า ในวงการคริปโตฯมีเงินอยู่สองประเภทก็แล้วกัน ประเภทแรกเรียกว่า Stable Coin หรือเหรียญที่มีมูลค่าตามสินทรัพย์จริงใดๆในโลกนี้ เช่น USDT, USDC จะมีค่าเท่ากับ 1 ดอลลาร์สหรัฐเสมอ (สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่บทความ “ใครคือ 1 ดอลลาร์ตัวจริง) สำหรับเหรียญที่มีมูลค่า 1 บาท ยังไม่มีที่ได้รับความนิยม แต่ วอนเกาหลี, เยนญี่ปุ่น, ยูโร, หยวน, ดอลลาร์สิงคโปร์ เริ่มมีให้เห็นขึ้นมาแล้ว
เงินอีกประเภท ขอเรียกมันว่าเป็น คริปโตเคอเรนซี่แท้ มีหน้าที่เก็บมูลค่าในตัวมันเอง เช่น Bitcoin, Doge, Shiba, Zcash, Dash, Monero, และอื่นๆ เอาไปทำประโยชน์คือ สามารถโอนความเป็นเจ้าของ ของเหรียญจากผู้ใช้หนึ่งไปอีกผู้ใช้หนึ่งได้อย่างปลอดภัย สิ่งที่ต่างจากเงินทั่วไปคือ เงิน หากโอนผ่านบัญชีธนาคารจะสามารถถูกตรวจสอบจากบุคคลภายนอก เช่น หน่วยงานของรัฐได้ แต่คริปโตเคอเรนซี่บางชนิด การตรวจสอบธุรกรรมทำได้ยาก หรือทำไม่ได้เลย แม้แต่กับตัวเจ้าของบัญชีเองก็ตาม
สิ่งต่อมาที่ต้องมีคือ ที่เก็บเงิน ในที่นี้ คริปโตเรียกว่า Wallet คือเป็นการเปลี่ยนจากการเก็บเป็น เงินสด ที่ต้องมีธนบัตรหรือเหรียญ หรือเก็บเงินไว้ในธนาคาร ซึ่งเป็นการต้องผ่านตัวกลาง เปลี่ยนมาเก็บเงินไว้บน บล๊อกเชน แทน
การเก็บเงินไว้บน บล๊อกเชน เหมือนการที่หลายๆคนเก็บธุรกรรม และมูลค่าเงินในบัญชีทั้งระบบเอาไว้ เพราะฉนั้น มันจะมีข้อดีคือ ไม่สามารถโจรกรรมหรือสูญหายได้ ตราบใดที่คุณยังครอบครองรหัสลับของที่เก็บเงินของคุณไว้ ไม่เปิดเผยให้ใครทราบ สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถอ่านได้ที่ Blockchain คืออะไร
ต่อมาคือ การแทงหวย สลากกินแบ่งรัฐบาล คือเราเดินไปซื้อสลากมาแล้ว รอวันที่ 1 หรือ 16 เก็บไว้เพื่อไปขึ้นเงิน ส่วนหวยใต้ดิน คือเราเดินไปบอกเจ้ามือ หรือคนส่งโพยว่าเราจะแทงเลขอะไร พอหวยออก ก็บวกลบคูณหารว่าตอนจบได้เสียเท่าใด ถ้าได้ก็รอเจ้ามือเอาเงินมาจ่าย แต่ถ้าเสียก็ต้องหาเงินไปจ่ายเจ้ามือ
ทั้งหวยบนดิน ใต้ดิน เปรียบเหมือนกับการที่เราทำสัญญาพนันกับ กองสลาก หรือ เจ้ามือ สัญญาดังกล่าวในโลกคริปโต ถูกเรียกว่า Smart Contract หรือสัญญาอัจฉริยะ มีให้เลือกใช้หลายยี่ห้อ แต่ที่ดังที่สุดก็คือ Ethereum นั่นเอง ยี่ห้ออื่นๆ ก็เช่น Cardano, Polkadot, Tron, Cosmos, และอีกมากมาย (สามารถอ่านรายละเอียดแต่ละยี่ห้อได้ที่นี่)
โดยส่วนใหญ่การทำสัญญา จะต้องมีการเสียค่าธรรมเนียมที่เรียกว่า Gas Fee ซึ่งนั่นคือเหรียญของแพลทฟอร์มต่างๆที่เราเทรดกันอยู่ เช่น ETHER, ADA, DOT, TRX, และอื่นๆ จึงมีการเปรียบเทียบว่าเหรียญเหล่านี้มีค่าเหมือน น้ำมัน ยิ่งคนใช้มากจะยิ่งเป็นที่ต้องการมาก มูลค่ายิ่งสูงมากขึ้น
ในกรณีของสลากกินแบ่งรัฐบาล Smart Contract จะทำการโอนเงินจาก Wallet ของผู้ซื้อสลาก เข้าไปให้กองสลากฯ และเมื่อหวยออก Smart Contract จะโอนเงินรางวัลจาก Wallet ของกองสลากฯ ไปยัง Wallet ของผู้โชคดี โดยอัตโนมัติ จะไม่มีกรณีหวยครูปรีชาแน่นอน เพราะ Smart Contract จะโอนให้คนที่อยู่ในสัญญาเท่านั้น ไม่มีจ่ายให้คนที่เก็บได้ หรืออ้างว่าเป็นเจ้าของ
ส่วนกรณีของหวยใต้ดิน เมื่อมีการตกลงว่าจะเดิมพัน เงินที่เก็บอยู่ใน Wallet ของผู้ซื้อ จะถูกล๊อกเอาไว้ (ยังไม่สูญเสียความเป็นเจ้าของแต่เงินดังกล่าวนำไปทำธุรกรรมอื่นๆไม่ได้) เช่นเดียวกันฝั่งเจ้ามือ จะต้องมีการล๊อกเงินเอาไว้ (เจ้าไม่ต้องตกใจ มันทำอะไรได้เยอะกว่าเดิมอีก) เมื่อหวยออก เงินใน Wallet ของผู้ซื้อที่ไม่ถูกจะถูกโอนมายัง Wallet เจ้ามือโดยอัตโนมัติ ส่วนคนที่ถูกหวย เงินใน Wallet ของเจ้าก็จะถูกโอนเข้าไปยัง Wallet ของผู้ซื้อ แบบหักลบกลบหนี้โดยอัตโนมัติ เช่นกัน รวมไปถึงคอมมิชชั่นของคนเดินโพย
Smart Contract จะรู้ได้อย่างไรว่า เลขใดที่ถูกรางวัล Smart Contract จะใช้บริการของผู้จัดหาและตรวจสอบข้อมูล ที่เรียกกันว่า Oracle ยี่ห้อที่ดังที่สุดคือ Chainlink ข้อมูลจากภายนอกที่จะนำมาใช้เป็นตัวตัดสินเงื่อนไขใน Smart Contract จะต้องผ่าน Oracle เท่านั้น ในที่นี้ Chainlink จะต้องเข้ามาดึงข้อมูลจากกองสลากโดยตรงหรือแหล่งที่พิสูจน์แล้วว่าเชื่อถือได้เท่านั้น (ใช้เหรียญ LINK)
ก่อนหน้านี้ ผมพิมพ์ไปว่า ฝั่งเจ้ามือ จะต้องมีการล๊อกเงินเอาไว้เพื่อรับประกันว่า จ่ายจริง ประโยชน์ของ Smart Contract ยังสามารถทำให้ใครก็เป็นเจ้ามือร่วมกันได้ ไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว ไม่มีการโกงกัน เพราะผลประโยชน์จะถูกผูกเอาไว้ด้วย Smart Contract อยู่แล้ว และการจัดสรรผลประโยชน์ต่างๆจะถูกทำในรูปแบบที่เรียกว่า Staking
หลักการคือ เมื่อคุณนำเงินของคุณมาลงไว้ในกองกลาง ผลกำไรหรือขาดทุนที่เกิดขึ้น จะถูกคำนวณเป็นรอบๆ รอบแรกหน่วยลงทุนจะขายที่ราคา 1 บาท ต่อ 1 หน่วย สมมุติว่าในงวดนั้นมีกำไร 60% มูลค่าของหน่วยลงทุนจะกลายเป็น 1 + .60 = 1.60 บาท คนที่จะเข้ามาลงทุนในงวดสองจะต้องซื้อหน่วยลงทุนในมูลค่า 1.60 บาทเสมอ จนกว่าจะถึงรอบสาม หากรอบสามเกิดกำไรอีก 50% มูลค่าของหน่วยลงทุนจะกลายเป็น 1.60 + .80 = 2.40 บาท สามารถถอนเงินออกจากกองกลางตามมูลค่าของหน่วยลงทุน ณ ขณะนั้นได้ตลอดเวลา ไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงเอาไว้แต่เพียงผู้เดียวอีกต่อไป แต่เช่นกันหากรอบที่สี่ เจ้าขาดทุน 50% มูลค่าก็อาจจะลงมาเหลือ 2.4 – 1.2 = 1.2 บาทได้
กลไกทั้งหมดของการ Staking จะถูกผูกไว้บน Smart Contract แก้ไขไม่ได้จนกว่าเงื่อนไขจะเป็นไปตามที่กำหนดไว้ โดยเหรียญที่ทำการ Staking ไว้ ยังอาจจะสามารถใช้เป็นเหรียญ Governance Coin ได้ เช่น วันดีคืนดี เจ้าตกลงกันว่า เราจะเพิ่มอัตราการจ่ายเลขสองตัวล่างจาก 60 บาท เป็น 70 บาท แพลทฟอร์มเจ้ามือจะต้องได้รับฉันทามติเกินกว่ากึ่งหนึ่ง เพื่อไปแก้ไขเงื่อนไขใน Smart Contract ในการจ่ายเงินเพิ่ม
นอกจากนี้ยังจะมีเรื่องของการลงทุนหากำไรแบบไม่ต้องเป็นเจ้ามือ เช่น การลง Liquidity Pool เสริมสภาพคล่องให้แหล่งเปลี่ยนเหรียญสกุลต่างๆเป็นสกุลที่สามารถใช้แทงหวยได้, การนำเงินมาให้คนกู้เพื่อเล่นหวยผ่าน Defi Lending, การออก NFT เพื่อเป็นใบรับรองการเป็นคนเดินโพยที่เชื่อถือได้
ทั้งหมดทั้งมวล ผมเขียนไม่ได้ให้ใครทำขึ้นมาจริงนะ แต่เพื่อให้ท่านเข้าใจโลกของคริปโตเคอเรนซี่ได้ง่ายขึ้น หวังว่าคงมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย ถ้าจะมาดราม่า ขอทราบชื่อจริง นามสกุลจริง ก่อนจะมาคุยกันนะครับ ไม่คุยกับคนใช้ชื่อปลอม
ทิ้งประโยคสุดท้ายเอาไว้แค่ว่า แทบจะไม่มีใครที่รวยจากการพนันนอกจากเจ้ามือครับ
Leave a Comment
You must be logged in to post a comment.